เมื่อเวลา 13.00น. วันที่ 6 ก.ค.65 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ชัยรัตน์ กิจงาม สว.สอบสวน บก.ปปป. เพื่อขอให้ตรวจสอบการกระทำของตำรวจคณะสืบสวนสอบสวน ของ บชภ.1 ในคดีการเสียชีวิตของนักแสดงสาวแตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ที่เสียชีวิตจากการตกเรือสปีดโบ๊ทในแม่น้ำเจ้าพระยา
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตำรวจชุดดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี และคณะพนักงานอัยการภาค 1 ที่ใช้คำสั่งตามมาตรา 169 ให้ผู้ต้องหาบนเรือนำโทรศัพท์มือถือส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายเรียกให้มาสอบเพิ่ม และขอตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ของผู้ต้องหา ช่วงวันที่ 22-28 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ ประเด็นนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน กลับไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบ อ้างว่า เคยส่งมอบโทรศัพท์ให้พนักงานสอบสวนนำไปตรวจสอบที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือบก. ปอท.ไปแล้ว ทั้ง 2 คนยืนยันว่า ให้ไม่ได้ เป็นเรื่องขัดต่อรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหา จึงขอใช้สิทธินี้ไม่ส่งมอบให้ ตนเห็นว่าตำรวจทำไม่ถูกต้อง ที่ยินยอมให้ผู้ต้องหาไม่ส่งมอบโทรศัพท์มือถือให้ และไม่ได้ดำเนินคดีใดๆฐานขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งมีโทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือนปรับไม่เกิน 500 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่ ด้วย จึงต้องเข้ามาร้องขอให้บก.ปปป.ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง และผู้ต้องหาทั้งสองคนด้วย
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ตนมองว่าเหตุที่อัยการนนทบุรีสั่งให้ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาอีกครั้ง โดยให้ส่งไปตรวจที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม ทางอัยการอาจมองเห็นเรื่องความน่าเชื่อถือในพยานหลักฐานที่ตำรวจตรวจไปก่อนหน้านี้ หรืออาจมีแง่มุมทางคดีใดๆ ที่เชื่อได้ว่าคดีนี้อาจไม่ใช่การกระทำจากความประมาท แต่อาจเกิดจากการฆาตกรรม ส่วนข้อมูลในโทรศัพท์มือถือช่วงเวลาดังกล่าว จึงถือเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญต่อการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ส่วนอุปกรณ์และขั้นตอนกระบวนการในการตรวจสอบ พบว่าทั้งของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ฯและบก.ปอท. เป็นอุปกรณ์และกระบวนการตรวจสอบแบบเดียวกัน แต่ความน่าเชื่อถือและความกระจ่างต่อสังคมในคดีนี้อาจจะต่างกันอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า คดีนี้นายอัจฉริยะมองว่าเป็นคดีฆาตกรรม ไม่ใช่ความประมาท หมายความว่า ผู้ต้องหา 2 คนที่ไม่ยอมให้โทรศัพท์มือถือกับตำรวจไปตรวจสอบ จะเป็นผู้ก่อเหตุตัวจริงหรือไม่ นายอัจฉริยะ ปฏิเสธไม่ตอบคำถามเพราะเกรงว่าอาจจะถูกฟ้องร้องในภายหลัง แต่ขอให้สังคมไปดูพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทุกคน รวมถึงรอคำสั่งฟ้องของอัยการและการพิพากษาในชั้นศาล ทั้งคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำ และคดีที่ตนเองยื่นฟ้องไป
ส่วนกรณีที่คุณแม่ของแตงโมจะไปถอนฟ้อง ตนก็มองว่าคุณแม่ของแตงโม น่าจะไม่กล้าทำเรื่องดังกล่าว โดยเชื่อว่าแม่ของแตงโมจะไม่ได้อะไรเลยทั้งจากคดีฆาตกรรม และคดีประมาท หรือการฟ้องทางแพ่งซึ่งหากไม่มีการถอนคำฟ้อง คดีก็จะต้องเป็นไปตามกำหนดเดิม ที่ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 20 ก.ค. นี้ด้วย